
วันนี้ (7 มีนาคม 2568) พลตรี ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร สำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต (วปอ.บอ.) รุ่นที่ 2 ประจำปีการศึกษา 2568 ณ สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ (สปท.) พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “บทบาทของผู้นำแห่งอนาคตในการสร้างสถาปัตยกรรมความมั่นคงแห่งชาติ ท่ามกลางโอกาสและความท้าทายในยุคพลิกผัน” โดยเน้นย้ำว่าผู้นำจากทุกภาคส่วนต้องมีบทบาทสำคัญในการร่วมกันสร้างรากฐานความมั่นคงที่ยั่งยืนให้กับประเทศ

นายภูมิธรรมฯ กล่าวว่า ปัจจุบันโลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและคาดการณ์ได้ยาก โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และความมั่นคง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อประเทศไทย ทำให้แนวคิดเรื่องความมั่นคงแห่งชาติต้องขยายขอบเขตไปมากกว่าด้านการทหาร แต่ต้องครอบคลุมถึงความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม ไซเบอร์ และสิ่งแวดล้อม ซึ่งทุกภาคส่วนต้องมีบทบาทในการเสริมสร้างเสถียรภาพของประเทศ โดยเฉพาะภาคเอกชน ภาคประชาสังคม นักธุรกิจ นักการเมือง สื่อมวลชน และอุตสาหกรรมบันเทิง ที่สามารถร่วมมือกันขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า หลักสูตร วปอ.บอ. จึงถือเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้ผู้นำจากหลายสาขาอาชีพได้แลกเปลี่ยนแนวคิด และสร้างเครือข่ายที่สามารถนำองค์ความรู้ไปประยุกต์ใช้เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของชาติ
นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงภัยคุกคามใหม่ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะด้านไซเบอร์และเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ แม้เทคโนโลยีดิจิทัลจะเปิดโอกาสให้เกิดการพัฒนา แต่ขณะเดียวกัน ก็เป็นช่องทางที่กลุ่มอาชญากรและผู้ไม่หวังดีสามารถใช้เป็นเครื่องมือบ่อนทำลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีโครงสร้างพื้นฐาน การแพร่กระจายข่าวปลอม หรือการใช้ AI เพื่อสร้างข้อมูลบิดเบือน ทำให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างศักยภาพในการรับมือกับภัยไซเบอร์ รวมถึงการสร้างภูมิคุ้มกันทางดิจิทัลให้กับประชาชน เพื่อให้สามารถแยกแยะข้อมูลที่ถูกต้องจากข้อมูลที่ถูกบิดเบือนได้
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญ คือ ความจำเป็นในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อรับมือกับภัยคุกคามข้ามชาติ ไม่ว่าจะเป็นการก่อการร้าย อาชญากรรมทางไซเบอร์ และการค้าอาวุธผิดกฎหมาย ซึ่งประเทศไทยต้องทำงานร่วมกับพันธมิตรในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกัน ขณะเดียวกัน การส่งเสริม Soft Power ของไทย เช่น ศิลปวัฒนธรรม อาหาร ดนตรี และอุตสาหกรรมบันเทิง ก็เป็นแนวทางสำคัญในการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสังคม อีกทั้งช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศในระดับสากล
ในช่วงท้ายของปาฐกถา นายภูมิธรรมฯ กล่าวสรุปว่า “ความมั่นคงแห่งชาติ ไม่ใช่เรื่องของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของทุกคน” โดยผู้นำในทุกภาคส่วนต้องมีบทบาทในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับประเทศ ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ นักการเมืองที่ผลักดันนโยบายด้านความมั่นคง สื่อมวลชนที่สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับสังคม หรือแม้แต่อุตสาหกรรมบันเทิงที่ใช้ Soft Power เป็นเครื่องมือส่งเสริมภาพลักษณ์ของชาติ และเมื่อทุกภาคส่วนร่วมมือกัน ประเทศไทยจะสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ และสร้างสถาปัตยกรรมความมั่นคงที่แข็งแกร่งและยั่งยืนได้ต่อไป
Discussion about this post