ผู้การนครปฐมป้ายแดง เปิดตัวแถลงข่าวรวบสองคนร้ายแก๊งโจรกรรมรักรอบขโมยเงินจากตู้บุญเติม โดยตอนนี้ทราบว่าก่อเหตุมาแล้วไม่น้อยกว่า15 ครั้ง ทราบยอดเงินที่ได้ ที่ตรวจพบจำนวน 100,000 กว่าบาท แต่เชื่อว่ายังมีความเสียหายเพิ่มเติมที่สืบทราบไม่น้อยกว่าสี่ถึง 400,000 บาท สุดท้าย ตายเพราะดาต้าเบส มือถือขึ้นทุกครั้งที่มีการก่อเหตุโดยเน้นย้ำเป็นคำสั่งโดยตรงของผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 สารวัตรพูดเหี้ยอะไรจับประเด็นไม่ได้ให้เร่งรัดติดตามจับคนร้ายมาดำเนินการให้ได้ กระทั่งนำมาสู่การจับกลุ่มดังกล่าว
วันที่ 20 มกราคม 68 เวลา 15.00 น. ที่ สภ.เมืองนครปฐม พล.ต.ต.พงษ์พันธ์ วงษ์มณีเทศ ผบก.ภ.จว.นครปฐม พร้อมด้วย พ.ต.อ.สุรชัย สุกใส พ.ต.อ.พัลลภ สุริยกุล ณ อยุธยา รองผบก.ภ.จว.นครปฐม พ.ต.อ.ภูภณ ทัพเจริญ ผกก.สภ.เมืองนครปฐม พร้อมด้วยชุดคลี่คลายคดี แถลงผลการจับกุมคนร้ายก่อเหตุเดินสายลักลอบโจรกรรรม ตู้เติมบุญ โดยได้ผู้ ต้องหาจำนวนสองราย และยานพาหนะรถกระบะที่ใช้ก่อเหตุ หลังจากสืบทราบข้อมูลตรวจสอบประวัติพบก่อเหตุมาแล้ว 15 ครั้ง ได้เงินรวมมูลค่า 100,000 กว่าบาท
พล.ต.ต.พงษ์พันธ์ วงษ์มณีเทศ ผบก.ภ.จว.นครปฐม เผยว่าจากกรณีที่เจ้าทุกข์ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจตู้เติมบุญได้เข้ามาแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครปฐม ว่าได้มีคนร้ายเข้ามาก่อเหตุโจรกรรมลัก ตู้เติมบุญ ซึ่งเป็นตู้สำหรับเติมเงินโทรศัพท์มือถือ และในรูปแบบของการใช้เงินต่างๆ ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถสืบทราบและจับกุมผู้ต้องหาได้ สองราย ประกอบด้วย นายอุดม พรมมิ อายุ 43 ปี ชาวอำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม และนายณัฐพงศ์ ปิยะอรุณ อายุ 19 ปี ชาวอำเภอกำแพงแสนเช่นกัน พร้อมด้วยของกลาง รถกระบะยี่ห้อมิตซูบิชิ รุ่นไตรตัน สีดำ หมายเลข บย 3328 สระแก้วจำนวนหนึ่งคัน ตู้เติมบุญ จำนวน 1 ตู้ เบื้องต้นได้แจ้งข้อกล่าวหา ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่สองคนขึ้นไป โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิดหรือพาทรัพย์นั้นไป
ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม เผยอีกว่า ในการเข้าจับกลุ่มดังกล่าวเมื่อเจ้าทุกข์ได้เข้ามาร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนไว้แล้วต่อมาชุดสืบสวนของตำรวจสภ. เมืองนครปฐม ได้ร่วมกันสืบสวนและพิสูจน์ทราบบุคคลจนชัดเจนจากกล้องวงจรปิดนำไปสู่การออกหมายจับและติดตามจับกุมผู้ต้องหาได้เมื่อวันที่ 17 มกราคม 68 บริเวณริมถนนสาธารณะ ในตำบลท่า]hอ อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งการขยายผลและซักถามข้อมูลผู้ต้องหาได้ให้การในการตะเวนออกก่อเหตุโดยใช้รถยนต์ของกลางในการอำพรางหรือเปลี่ยนตัวรถให้ยากต่อการพิสูจน์ โดยจะมีการถอดอะไหล่บางชิ้นหรือติดสติกเกอร์เพิ่มเติมเมื่อก่อเหตุเสร็จแล้วก็จะกลับบ้านมีลักษณะการถอดอะไหล่และแต่งเติมหรือลบสติกเกอร์ออกให้อยู่ในสภาพปกติ ซึ่งในช่วงกลางวันจะเอาออกหาจุดตั้งตู้บุญเติมและจะใช้รถของกลางก่อเหตุในเวลากลางคืนซึ่งจะเป็นการยกขึ้นรถ หลังจากงัดเอาเงินออกมาได้แล้วก็จะนำไปโยนทิ้งโดยสารภาพว่าได้ก่อเหตุมาแล้วหลายจุดในพื้นที่จังหวัดนครปฐม ซึ่งจากที่สืบทราบพบว่าในพื้นที่สภ. เมืองนครปฐม มีการก่อเหตุมาแล้ว 4 จุด รวมทรัพย์สิน จำนวน 27,728 บาท ในพื้นที่สภ. กำแพงแสนจำนวน 9 จุด ได้ทรัพย์สินมูลค่า 107,101 บาท ในพื้นที่สภ. กระตีบ จำนวน 2 จุด รวมมูลค่าทรัพย์สิน จำนวน 11,253 บาท รวมทั้งทั้งสิ้นในขณะนี้ เป็นจำนวนเงิน 146,082 บาท ซึ่งจะมีการสืบข้อมูลว่าจะมีจำนวนมากกว่านี้อีกหรือไม่ และจากการตรวจสอบประวัติพบว่า นายอุดม อายุ 43 ปี ได้มีคดีติดตัวมาแล้วถึงสี่ ซึ่งเป็น คดีเกี่ยวกับยาเสพติดหนึ่งคดีและคดีลักทรัพย์อีกสามคดี ส่วนนายณัฐพงศ์ มีคดีติดตัวในข้อหาลักทรัพย์ในเวลากลางคืนที่สถานีภูธรตำรวจอำเภอเมืองนครปฐมหนึ่งคดี
” การติดตามจับกุมคนร้ายในครั้งนี้ชุดสืบสวนได้รายงานว่าจากการสังเกตพฤติกรรมดังกล่าวพบว่าจะมีเบอร์โทรศัพท์มือถือหนึ่งเบอร์ปรากฏขึ้นทุกครั้งก่อนที่ตู้บุญเติมจะถูกโจรกรรมออกไป ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้มีการเช็คสัญญาณมือถือประกอบพบว่าเป็นโทรศัพท์มือถือของคนร้ายที่ลงมือก่อเหตุและได้มีการแกะรอยติดตามหาพฤติกรรมจนมั่นใจว่าใช่คนร้ายที่ก่อเหตุและได้ไปขออนุมัติหมายจับจากศาลจังหวัดนครปฐม โดยได้ติดตามดาต้าเบสสัญญาณโทรศัพท์กระทั่งพบตัวซึ่งได้ทั้งของกลางและผู้ร่วมก่อเหตุ โดยการติดตามจับกุมคนร้ายทั้งสองรายเป็นคำสั่งโดยตรงที่ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ได้สั่งการเน้นย้ำให้มีการติดตามตัวมาดำเนินคดีให้ได้ ซึ่งขอแจ้งประชาชนว่าหากพบพฤติกรรมต้องสงสัยขอให้แจ้งมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งจะได้มีชุดป้องกันและติดตามจับกุมคนร้ายที่คาดว่าจะมีอีกหลายรายโดยตอนนี้ได้มีการเกาะลอย เพื่อติดตามจับกุมมาดำเนินคดีให้ได้ต่อไป” ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐมกล่าวปิดท้าย
ภาพ/ข่าว กิตติพงษ์ จันทร์ละมูล ผู้สื่อข่าว จ.นครปฐม
Discussion about this post