วันที่ 14 กันยายน 2566 จากกรณีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีกำหนดเดินทางไปตรวจเยี่ยมและรับฟังปัญหาที่ด่านพรมแดนไทย-เมียนมา สะพานข้ามลำน้ำสายแห่งที่ 1 อ.แม่สาย จ.เชียงราย ในวันที่ 15 ก.ย.2566 นั้น ทำให้ทั้งภาครัฐและเอกชนในพื้นได้เตรียมยื่นข้อเสนอแนะต่างๆ โดย น.ส.ผกายมาศ เวียร์รา ประธานหอการค้า อ.แม่สาย ได้แสดงความขอบคุณที่นายกรัฐมนตรีและคณะ ที่ให้ความสำคัญกับชายแดนด้าน อ.แม่สาย เป็นแห่งแรก โดยเฉพาะจุดผ่านแดนถาวร อ.แม่สาย ถือว่าติดกับจุดผ่านแดนถาวร จ.ท่าขี้เหล็ก ซึ่งเป็นจุดผ่านแดนถาวรแห่งเดียวของรัฐฉานและติดกับประเทศไทย
โดย น.ส.ผกายมาศ กล่าวว่า เพื่อพัฒนาชายแดนแห่งนี้ให้ได้รับความสะดวกต่อการค้าและการท่องเที่ยว ฯลฯ จึงเสนอให้รัฐบาลออกฟรีวีซ่าให้กับชาวเมียนมา นอกเหนือจากที่ให้กับประเทศจีนและคาซัคสถาน โดยอนุญาตให้ใช้วีซ่าเมื่อมาถึงหรือวีซ่าออนอะไรวัล ที่ด่านพรมแดนได้ ซึ่งจากเดิมที่ชาวเมียนมาต้องไปขอไกลถึงกรุงย่างกุ้ง โดยจะทำให้มีรายได้เข้าประเทศจากการท่องเที่ยวและสาธาณสุขได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ที่ จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ยังมีสนามบินที่กำลังขยายตัวจากเดิมมี 7 สายการบินและทำการบินวันละหลายสิบเที่ยวอยู่แล้ว นอกจากนี้ในอดีต อ.แม่สาย เคยถูกกำหนดเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษในฐานะศูนย์กลางทางด้านการเงิน ดังนั้นรัฐบาลใหม่สามารถผลักดันโดยไม่ต้องดำเนินการมากนัก เพียงแต่ให้หน่วยงานต่างๆ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ฯลฯ จัดตั้งสำนักงานอยู่ที่ชายแดนเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถขอทำเรื่องนำเข้าและส่งออกได้ที่ชายแดนโดยไม่ต้องเดินทางไปไกลถึง อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงใหม่ หรือกรุงเทพฯ
“อยากให้ท่านนายกรัฐมนตรี ต้้งศูนย์ที่ให้รับใบอนุญาตต่างๆ ตั้งอยู่ ณ จุดกึ่งกลางที่ อ.เชียงแสน เมื่อทาง อ.เชียงของ หรือ อ.แม่สาย จะมีการส่งออกก็สามารถไปขอที่ อ.เชียงแสน ได้เลยจากเดิมที่ต้องไปขอใกล้สุดที่ อ.เมืองเชียงราย ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 2-3 ชั่วโมง ทำให้เสียเวลาไปกว่า 1 วัน โดยให้หน่วยงานต่างๆ ไปตั้งอยู่ที่ศูนย์กลาง เช่น หน่วยงานสังกัดกระทรวงพาณิชย์ หน่วยงานสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ฯลฯ เพราะสินค้าบางขนิด เช่น สินค้าทางการเกษตรที่จำเป็นดูแลรักษาให้สดใหม่และต้องใช้ความรวดเร็ว” น.ส.ผกายมาศ กล่างและว่า ปัจจุบันทางการจีนซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญได้ให้สิทธิพิเศษทางภาษีแก่ประเทศเมียนมา และ สปป.ลาว เพราะมีอาณาเขตติดกันแต่ยังไม่ให้แก่ประเทศไทย ขณะที่มีข้อตกลงการเดินเรือพาณิชย์ในแม่น้ำโขงร่วมกัน ข้อตกลงหรือเอ็มโอยูเป็นบ้านพี่เมืองน้องระหว่าง จ.เชียงราย กับมณฑลยูนนาน ประเทศจีน ฯลฯ จึงขอให้รัฐบาลใช้กรอบความร่วมมือต่างๆ ด้งกล่าวผลักดันให้ประเทศไทยได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีด้วย
ทางด้าน น.ส.ฝน กันโทแก้ว อายุ 42 ปี ผู้ช่วยเจ้าของร้านขายชายแดนแม่สาย กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลส่งเสริมการค้าและการท่องเที่ยวให้คึกคักมากขึ้นด้วย เพราะในปัจจุบันสถานการณ์ยังดูซบเซามาก
ด้านสำนักงานพาณิชย์ จ.เชียงราย แจ้งว่าเดือน ม.ค.-ส.ค.2566 จ.เชียงราย มีการการส่งออกสินค้ามูลค่า 60,831.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 3.71% และนำเข้ามูลค่า 11,767.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.22% โดยเป็นการค้ากับจีน แบ่งเป็นการส่งออกผลไม้สด 96.18% สินค้าอุปโภคบริโภค 2.03% พืชผักสด 1.13% และนำเข้าผลไม้สด 54.36% พืชผักสด 35.15%
การค้ากับประเทศเมียนมา เป็นการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง 33.48% เครื่องจักรกลและอุปกรณ์ 23.73% สุรา ไวน์ เบียร์ 7.87% และนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 69.17% ไม้สักแปรรูป 7.65% ผลส้มสด 6.69% และการค้ากับ สปป.ลาว เป็นการส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภค 33.06% น้ำมันดีเซลและเบนซิน 27.56% อุปกรณ์ก่อสร้าง 22.07% และนำเข้าเป็นถ่านหินลิกไนต์ 49.62% ลูกต๋าว 18.84% และสินค้าเกษตร 9.07%
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้เตรียมนำเสนอปัญหาอุปสรรคการค้าชายแดนต่อนายกรัฐมนตรีว่า ปัจจุบันท่าเรือกวนเหล่ย ซึ่งเป็นท่าเรือหน้าด่านของจีนในแม่น้ำโขง ยังไม่ได้รับการอนุมัติให้เป็นด่านจำเพาะสำหรับนำเข้าผลไม้และสินค้าแช่แข็ง ทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถส่งออกไปยังประเทศจีนผ่านช่องทางนี้ได้ และต้องขนส่งไปทางถนนอาร์สามเอ อ.เชียงของ-สปป.ลาว-จีน แทน โดยเฉพาะผลไม้หลายชนิดและไก่แช่แข็งที่เป็นสินค้าสำคัญของไทย.
Discussion about this post