วันที่ 29 ต.ค.64 เตือนเกษตรกร ระวัง ด้วงหมัดผัก เฝ้าระวัง ด้วง หมัดผัก ในพืชตระกูลกะหล่ำ (เช่น คะน้า กะหล่ำปลี ผักกาดขาว กะหล่ำดอก บรอกโคลี ฯลฯ) จากสภาพอากาศในช่วงนี้มีอากาศที่ร้อน สลับมีฝนตกในบางพื้นที่ทำให้การแพร่ระบาดของด้วงหมัดผัก เริ่มมีปริมาณมากขึ้นและมีการเข้าทำลายพืชผัก เกษตรกรที่ปลูกพืชตระกูลกะหล่ำ (เช่น คะน้า กะหล่ำปลี ผักกาดขาว กะหล่ำดอก บรอกโคลี ฯลฯ) ในระยะ ทุกระยะการเจริญ ต้องเตรียมรับมือกับด้วงหมัดผัก ซึ่งตัวอ่อนด้วงหมัดผักจะเข้ากัดกิน หรือชอนไชเข้าไปกินบริเวณโคนต้น หรือรากของผัก ทำให้พืชผักนั้นเหี่ยวเฉา และไม่เจริญเติบโต และถ้ารากถูกทำลายมากๆ ก็อาจจะทำให้พืชผักตายได้ ส่วนตัวเต็มวัยจะชอบกัดผิวด้านล่างของใบทำให้ใบเป็นรูพรุน และอาจกัดกินผิวลำต้น และกลีบดอกด้วย ด้วงหมัดผักจะชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่มๆ ตัวเต็มวัยเมื่อถูกกระทบกระเทือนจะกระโดด และสามารถบินได้ไกลทำให้การแพร่กระจายและเข้าทำลายพืชผักได้และดีรวดเร็ว จึงควรเฝ้าระวังการระบาดอย่างใกล้ชิด
นางสาวกัญณฐา อภินนท์ธนา เกษตรจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า เกษตรกรชาวสวนผักควรระมัดระวังด้วงหมัดผักเข้าทำลายผลผลิต ซึ่งด้วงหมัดผักสามารถพบการระบาดอยู่ทั่วไปโดยเฉพาะในแหล่งปลูกผักเก่าที่เป็นการปลูกพืชตระกูลกะหล่ำ เช่น คะน้า กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ดังนั้นเกษตรกรควรหมั่นตรวจแปลงอยู่เสมอและหากพบตัวแมลง หรือใบพืชผักถูกกัดกินเป็นรูพรุน ให้รีบดำเนินการป้องกัน หรือขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่จากสำนักงานเกษตรอำเภอ สำนักงานเกษตรจังหวัด เพื่อการควบคุม และหาทางป้องกันกำจัดก่อนเกิดการระบาดรุนแรง โดยในประเทศไทยจะพบด้วงหมัดผักเข้าทำลายพืชผัก อยู่ ๒ ชนิด คือ ชนิดปีกเหลืองแถบน้ำตาล Phyllotreta flexuosa และ ชนิดปีกด่าหรือปีกสีน้ำเงินเข้ม Phyllotreta chontanica ด้วงหมัดผักจะชอบวางไข่เป็นฟองเดี่ยวๆ หรือกลุ่มบริเวณโคนต้นพืช เส้นกลางใบพืชและตามพื้นดิน ไข่รูปร่างคล้ายไข่ไก่ขนาด ๐.๑๓ x ๐.๒๗ มิลลิเมตร สีขาวอมเขียว ผิวเรียบเป็นมันและจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อนก่อน ฟักเป็นตัว ระยะไข่ ๓ – ๔ วัน ตัวหนอนมีสีขาว ส่วนหัวและส่วนท้องปล้องแรกมีสีน้ำตาล มีจุดสีน้ำตาลตามล่าตัวและแผ่นสีน้ำตาลอยู่ทางด้านบนของปล้องสุดท้ายของล่าตัว หนอนอาศัยอยู่ในดิน ระยะหนอน ๑๐ – ๑๔ วัน และเข้าดักแด้
ในดิน ส่วนปีกและขาของดักแด้แยกจากล่าตัวเป็นอิสระเคลื่อนไหวได้ ระยะดักแด้ ๔ – ๕ วัน ตัวเต็มวัยเป็นด้วงขนาดเล็กความยาวประมาณ ๒ – ๒.๕ มิลลิเมตร ปีกคู่หน้าสีด่ามีแถบเหลืองสองแถบพาดตามความยาวด้านล่างล่าตัวสีด่า ขาคู่หลังขยายใหญ่และโตกว่าขาคู่อื่นๆ หนวดเป็นแบบเส้นด้าย อายุตัวเต็มวัย ๓๐ – ๖๐ วัน ผสมพันธุ์ได้หลายครั้ง เพศเมียแต่ละตัววางไข่ได้ 80-200 ฟอง ด้วงหมัดผักในประเทศไทยพบ ๒ ชนิด คือชนิดปีกเหลืองแถบน้ำตาล และชนิดปีกด่าสีน้ำเงินเข้ม แต่มากกว่า ๘๐%เป็นชนิดปีกเหลืองแถบน้ำตาล ด้วงหมัดมีนิสัยที่สังเกตง่ายคือ เมื่อถูกกระทบ กระเทือนจะกระโดดโดยอาศัยขาหลัง สามารถดีดตัวไปได้ไกล ด้วงหมัดผักเป็นแมลงปีกแข็งชนิดเดียวที่เป็นศัตรูสำคัญของผักตระกูลกะหล่ำ เช่น คะน้ากวางตุ้ง กะหล่ำดอก ผักกาดหัว ตัวอ่อนของด้วงหมัดผักชอบกัดกินหรือชอนไชเข้าไปกินอยู่บริเวณโคนต้นหรือรากของผักทำให้ผักเหี่ยวเฉา และไม่เจริญเติบโตถ้ารากถูกทำลายมากๆ ก็อาจทำให้ผักตายได้ ตัวเต็มวัยชอบกัดกินด้านล่างของผิวใบทำให้ใบมีรูพรุน อาจกัดกินลำต้น และกลีบดอกด้วย
แนวทางในการการป้องกัน สามารถทำได้ดังนี้ การไถตากดินไว้เป็นเวลานาน เพื่อทำลายตัวอ่อน และดักแด้ที่อาศัยอยู่ในดิน นอกจากนี้ควรเปลี่ยนมาปลูกพืชที่ด้วงหมัดผักไม่ชอบจะเป็นการช่วยลดการระบาดได้อีกทางหนึ่ง ใช้เชื้อแบคทีเรีย (บีที) บาซิลลัส ทูริงเยนซิส เช่น โนโวดอร์เอฟซี โดยพ่นหรือราด ทุก 7 วันหรือราดลงดินก่อนปลูกหลังการให้น้ำ เพื่อฆ่าตัวอ่อนด้วงหมัดผักในดิน การใช้สารฆ่าแมลง เช่น คาร์บาริล 85% WP อัตรา 40 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ โพรไทโอฟอส 50% EC อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร ยังคงใช้ได้ผลดีในแหล่งปลูกผักใหม่ๆ ที่มีการระบาดไม่รุนแรง ส่วนในแหล่งที่ปลูกผักเป็นประจำ ควรใช้สารฆ่าแมลง เช่น โทลเฟนไพแรด 16% EC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไดโนทีฟูแรน 10% WP อัตรา 40 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อะซีทามิพริด 20% SP อัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ฟิโพรนิล 5% SC อัตรา 50 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นเมื่อพบการระบาด และควรพ่นสารสลับกลุ่มกลไกการออกฤทธิ์เพื่อชะลอการสร้างความต้านทานต่อสารฆ่าแมลง
หากเกษตรกรผู้ปลูกผัก พบเห็นการเข้าทำลายของด้วงหมัดผัก หรือมีข้อสงสัย สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานเกษตรอำเภอใกล้บ้านท่าน และสำนักงานเกษตรจังหวัดนครพนม
รับมือ !! หนอนกระทู้หอมในหอมแดง เกษตรจังหวัดนครพนม เตือนเกษตรกรเฝ้าระวังหนอนกระทู้หอมเข้าทำลาย !!
วันที่ 29 ต.ค.64 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงนี้อาจจะมีฝนตกในบางพื้นที่ สำนักงานเกษตรจังหวัดนครพนม จึงแจ้งเตือนเกษตรกรผู้ปลูกหอมแดงให้เฝ้าระวังหนอนกระทู้หอม ที่สามารถพบได้ในระยะพัฒนาหัวจนถึงระยะเก็บเกี่ยวผลผลิตหอมแดง ซึ่งจะมักพบตัวหนอนกระทู้หอมจะเจาะเข้าไปอาศัยและกัดกินเนื้อเยื่อใบหอม ทำให้ใบหอมแดงมีสีขาว จากนั้น หนอนกระทู้หอมจะกัดกินจากใบหอมลงไปถึงหัวหอมแดง ทำให้เกษตรกรไม่สามารถเก็บผลผลิตหอมแดงได้
นางสาวกัญณฐา อภินนท์ธนา เกษตรจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า หนอนกระทู้หอม นับเป็นศัตรูพืชที่สำคัญที่เมื่อเข้าทำลายต้นหอมแล้ว จะส่งผลให้เกษตรกรไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เท่าที่ควร และมีผลผลิตที่ลดลง เมื่อเกษตรกรพบการเข้าทำลายของหนอนกระทู้หอม เกษตรกรควรใช้วิธีป้องกันกำจัดแบบผสมผสาน คือ วิธีเขตกรรม วิธีกล ชีววิธี และการใช้สารเคมี สำหรับวิธีเขตกรรม ให้เกษตรกรไถตากดินและเก็บเศษซากพืชอาหาร เพื่อฆ่าดักแด้เป็นการลดแหล่งสะสมและขยายพันธุ์ วิธีกล ให้เกษตรกรเก็บกลุ่มไข่และหนอนไปทำลาย จะช่วยลดการระบาดลงได้ ส่วนการใช้ชีววิธี ให้เกษตรกรใช้ในระยะที่ตัวหนอนมีขนาดเล็กและพบการระบาดน้อย โดยให้ใช้สารจุลินทรีย์ เช่น เชื้อไวรัสหนอนกระทู้หอม (นิวคลีโอโพลิฮีโดรไวรัส) หรือในช่วงเวลาเย็นให้เกษตรกรพ่นด้วยเชื้อแบคทีเรีย Bacillus thuringiensis subsp. aizawai หรือ Bacillus thuringiensis subsp. kurstaki
สำหรับแนวทางการป้องกันและกำจัดหนอนกระทู้หอม เกษตรกรควรหมั่นสำรวจตรวจเก็บกลุ่มไข่และตัวหนอนกระทู้หอมในแปลงมาทำลายนอกแปลงปลูกทันที เพื่อช่วยลดการระบาด ส่วนในระยะที่ตัวหนอนมีขนาดเล็กและพบการระบาดน้อย ให้เกษตรกรพ่นด้วยเชื้อแบคทีเรียบาซิลลัส ทูริงเยนซิส (Bacillus thuringiensis) อัตรา 100 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตรกรณีพบการระบาดรุนแรง ให้เกษตรกรพ่นด้วยสารฆ่าแมลงที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันกำจัด อาทิ สารคลอแรนทรานิลิโพรล 5.17% เอสแอล อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารอีมาเมกตินเบนโซเอต 1.92% อีซี อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารคลอฟีนาเพอร์ 10% เอสซี อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารโทลเฟนไพแร็ด 16% อีซี อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารอินดอกซาคาร์บ 15% เอสซี อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารสไปนีโทแรม 12% เอสซี อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร ซึ่งหากเกษตรกรป้องกันและดำเนินการป้องกันอย่างถูกต้องจะช่วยให้สมารถลดการเข้าทำลายของหนอนกระทู้หอมในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี
หากเกษตรกรผู้ปลูกผัก พบเห็นการเข้าทำลายของด้วงหมัดผัก หรือมีข้อสงสัย สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานเกษตรอำเภอใกล้บ้านท่าน และสำนักงานเกษตรจังหวัดนครพนม.
Discussion about this post